วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

อยากให้ผิวขาวใส ต้องทานวิตามินซีตอนไหนดี


    อย่างที่เคยนำเสนอบทความไปแล้วว่า หากคุณ ๆ อยากมีผิวขาวใส เปล่งปลั่ง สุขภาพดี สามารถมีได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก หาซื้อหาทานง่าย  นั่นคือการทานวิตามินซี  เพราะวิตามินซีจะมีคุณสมบัติมากมาย และหากอยากจะทาน ควรจะทานตอนไหน เมื่อไหร่ ปริมาณขนาดไหนถึงจะเพียงพอ  เรามาอ่านบทความนี้กันเลยค่ะ

    วิตามินซี หรือ Ascorbic Acid เป็นวิตามินที่สามารถละลายน้ำได้ และยังเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ในการสร้างคอลลาเจนในกระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด ร่างกายของคนเราสามารถที่จะได้รับวิตามินซีจากธรรมชาติ ด้วยการทานอาหารประเภทผัก และผลไม้ เช่น มะรุม มะนาว ส้ม มะขามป้อม ฝรั่ง กีวี ลิ้นจี่ สตรอเบอร์รี่ หรืออาจจะได้รับวิตามินซีปริมาณสูงๆ จากการทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมก็ได้เช่นกัน

    วิตามินซีนั้นนอกจากมีส่วนช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นที่ถูกอกถูกใจของสาว ๆ ที่อยากมีผิวขาว ใส แล้ว  ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่จะทำให้เรามีผิวเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัยได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย นอกจากนี้ด้วยคุณสมบัติในการละลายน้ำได้ ทำให้วิตามินซีกลายเป็นสิ่งที่สามารถช่วยบำรุงรักษา ทั้งภายในและภายนอกของเซลล์ ในการต่อสู้กับความเสียหายที่เกิดขึ้น

จากอนุมูลอิสระได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในบริเวณผิวหนัง ซึ่งนับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ นอกจากนี้ยังช่วยชะลอความแก่ ลดริ้วรอย ดังนั้นจึงถือได้ว่าวิตามินซีมีความพิเศษในด้านความสวยงามของผิวพรรณเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

    แต่ในด้านอื่น ๆ วิตามินซีก็มีประโยชน์ด้วยเช่นกัน อาทิเช่นช่วยบำรุงหลอดเลือดให้แข็งแรง, ทำให้ลดความอยากสารนิโคตินในบุหรี่, ลดและบรรเทาอาการไมเกรนและไซนัส, ลดและบรรเทาอาการหอบหืด, บรรเทาอาการหวัด  เป็นไงละคะคุณประโยชน์ของเจ้าวิตามินซี  ซึ่งจริง ๆ ยังมีอีกมากนะคะ แต่นี่นำมาให้ดูเพียงบางส่วนเท่านั้น

    และเมื่อเห็นถึงประโยชน์มากมายเช่นนี้แล้ว คุณ ๆ ย่อมอยากจะทานเจ้าวิตามินซีกันแล้วนะคะ  ซึ่งเวลาที่เหมาะสมนั้นก็เป็นเวลาใดก็ได้ในระหว่างวัน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นควรทานทุกวันอย่างสม่ำเสมอถึงจะมีประสิทธิภาพดี  และหากต้องการจะเน้นในเรื่องของความงามคือผิวพรรณที่ขาวใส เปล่งปลั่ง แลดูอ่อนกว่าวัยนั้น คุณควรทานวิตามินซีในปริมาณอย่างน้อยวันละ 1000 - 2000 มิลลิกรัมขึ้นไปนั่นเอง

    นอกจากนี้ควรดูแลในด้านอื่น ๆ เสริมเข้าไปด้วยนะคะ อาทิการทาครีมบำรุงผิว การทาครีมกันแดด อีกทั้งการหลีกเลี่ยงที่จะเจอกับแสงแดดโดยตรง  การงดแอลกอฮอลล์  เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็จะขาวใสขึ้น และมีสุขภาพดีไปอีกนานค่ะ

อาหารลดน้ําหนัก ครีมแก้ขาลาย ลดพุง


วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

วิธีทาริมฝีปากให้สวยโดนใจ


    บทความวันนี้นำวิธีในการทาริมฝีปากมาฝากคุณสาว ๆ กันค่ะ บางครั้งเราอาจมีความรู้สึกว่าลิปสติกติดไม่ทนเลย  หรือสาว ๆ บางท่านอาจมีปัญหาเรื่องริมฝีปากใหญ่หรือเล็กเกินไปจะทาลิปสติกอย่างไรดี เลยมีเทคนิคต่าง ๆ มาให้ลองทำกัน ทั้งสวยใสและแก้ไขจุดบกพร่องต่าง ๆ ได้ด้วย เมื่อทดลองทำจนคล่องดีแล้ว  คราวนี้การแต่งแต้มริมฝีปากก็จะกลายเป็นง่ายไปเลยทีเดียวค่ะ

    @ วิธีการทาปากสีเข้ม

    1. ขั้นตอนแรกทาลิปมันแบบไม่มีสีบนริมฝีปาก ทั้งนี้เพื่อให้การลงสีนั้นง่ายขึ้น
    2. จากนั้นเขียนขอบปากที่เป็นสีโทนเดียวกันกับสีลิปสติกสีเข้มที่เราจะใช้ เพื่อตีกรอบรูปปากให้ทาสีลิปแล้วดูสวยและชัดขึ้น
    3. ตามด้วยการเขียนขอบปากสีที่อ่อนลงมาอีกหน่อย เสร็จแล้วค่อยทาลิปสติกสีเข้มที่ต้องการทาไล่จากขอบปากที่เขียนเข้ามาอีก แต่เว้นพื้นที่ตรงกลางริมฝีปาก
    4. หลังจากทาสีเข้มเสร็จแล้ว ก็ทาลิปสติกสีอ่อนโทนสว่างตรงกลางปากที่เว้นไว้อีกที  และปิดงานด้วยการทาลิปสติกมันวาวเฉพาะตรงกลางปากที่ทาสีอ่อน เท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย  ซึ่งวิธีการทาลิปแบบนี้จะทำให้ริมฝีปากของคุณดูมีมิติมากขึ้น และก็จะดูไม่เข้มจนเกินไป และยังทำให้ริมฝีปากคุณดูเล็กลงอีกด้วยนะคะ

    @ วิธีทาปากแบบธรรมชาติ
    1. เริ่มต้นด้วยการทาลิปมันที่ไม่มีสีก่อนเสมอค่ะ จากนั้นตามด้วยการทาลิปสติกสีนู้ดหรือลิปคอนซีลเลอร์ลงไป
    2. แต้มทินต์สีแดงลงบนริมฝีปากล่างบนจุดสามจุด  แต่อย่าแต้มเยอะนะคะ ต่อด้วยการเกลี่ยทินต์ที่แต้มไว้ให้เข้มขึ้นอีกนิดตรงริมฝีปากล่างที่แต้มไว้ตอนแรก
    3. ใช้นิ้วเกลี่ยสีทินต์ที่ทา  ให้เนียนทั่วริมฝีปากล่าง ปิดท้ายทาลิปสติกที่มีความมันวาวแต่ไม่มีสีอีกเช่นกัน วิธีนี้จะทำให้ริมฝีปากคุณดูเป็นธรรมชาติสุขภาพดี เหมาะสำหรับวันที่ แต่งตัวเบาๆ สบายๆ

    @ วิธีทาลิปสติกให้ริมฝีปากดูเล็กลง
    ขั้นตอนแรกควรลงคอนซีลเลอร์ทั่วริมฝีปากก่อน โดยแบ่งแต้มเป็นจุด ๆ ริมฝีปากบน 3 จุด และริมฝีปากล่าง 3 จุด จากนั้นเกลี่ยให้ทั่ว เพื่อเป็นการรองพื้นริมฝีปากให้เป็นสีนู้ด จากนั้นทาลิปสติกสีเฉพาะริมฝีปากด้านในทั้งบนและล่าง และตบท้ายด้วยลิปสติกแบบใสมันวาว

    @ วิธีทาลิปสติกให้ริมฝีปากดูอวบอิ่ม
    ขั้นตอนแรกให้ลงคอนซีลเลอร์เฉพาะบริเวณขอบริมฝีปากทั้งหมด  จากนั้นทาสีลิปสติกที่ต้องการให้ทั่ว ซึ่งการทาคอนซีลเลอร์ที่ขอบริมฝีปากทั้งหมดนั้นเหมือนเป็นการเน้นสีบริเวณนั้น ให้มีความสว่างอีกทั้งเป็นการตีกรอบปากให้ดูชัดขึ้นหลังทาสีลิปสติกลงไปอีกด้วย

    @ วิธีทาลิปสติกให้ริมฝีปากดูเหมือนยิ้ม
    ขั้นตอนแรกทาลิปมันไร้สีลงไปก่อนเพื่อความชุ่มชื้น จากนั้นตามด้วยทิ้นต์แต้มลงไป 2 จุดบริเวณกึ่งกลางริมฝีปากทั้งบนและริมฝีปากล่าง เกลี่ยให้เนียนทำเฉพาะบริเวณกึ่งกลางปากเท่านั้น ปิดท้ายทาลิปสติกแบบมันวาวลงไป

    @ วิธีทาลิปสติกให้สีลิปสติกติดทนนาน
    1. หลังจากทาลิปสติกสีที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ให้สาว ๆ เม้มริมฝีปากกับกระดาษทิชชู่
    2. จากนั้นใช้พู่กันจุ่มแป้งเด็กเล็กน้อยแล้วทาทับลงไปบนสีลิปสติก
    3. ตบท้ายด้วยการทาสีลิปสติกที่ทาไว้ตอนแรกทับอีกครั้ง เพียงบางๆ ก็เพียงพอ
    หวังว่าคงได้เคล็ดลับกันไปเพียบเลยนะคะ  คราวนี้ล่ะสาว ๆ จะได้มีริมฝีปากที่สวยสดใสสมใจกันแล้วค่ะ

อาหารลดน้ําหนัก ครีมแก้ขาลาย ลดพุง

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

สาวหน้ามัน ก็มีข้อดีนะจ๊ะ


    หนึ่งในหลาย ๆ ปัญหาของสาว ๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องผิวหน้า ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายอาการ แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล  แต่ปัญหายอดฮิตอย่างหนึ่งที่คุณ ๆ คงประสบกันอยู่ก็คือ “หน้ามัน”  สาว ๆ หลายท่านมักมีอาการหน้ามันเยิ้มกว่าคนปกติทั่วไป  และนั่นทำให้เป็นข้อกังวลใจอย่างหนึ่งของคุณ ๆ กันเลยทีเดียว  เพราะนอกจากจะทำให้ขาดความมั่นใจในการพบปะผู้คน  เพราะเจอะเจอใครก็ต้องคอยควักแผ่นซับหน้ามาซับกันอยู่บ่อยครั้ง  หรืออาจจะเรื่องสิวเจ้าปัญหา  ซึ่งมักผุดขึ้นมามากกว่าคนอื่น ๆ และอีกสารพัดปัญหา  จนหลาย ๆ ท่านคงท้อใจ หรือไปหาคุณหมอเพื่อรักษากันเลยทีเดียว  แต่คุณทราบหรือไม่ว่าการที่คุณเป็นคนหน้ามัน  ก็มีข้อดีอยู่หลายข้อที่ดีกว่าคนที่มีผิวหน้าปกติหรือผิวแห้งนะคะ 

    1. ริ้วรอยบนใบหน้ามาเยือนช้ากว่าคนอื่น คุณได้เปรียบสาว ๆ ผิวหน้าแบบอื่นนะคะ ตรงที่ริ้วรอยต่าง ๆ หรือตีนกาจะมาเยือนช้ากว่า ทั้งนี้เพราะน้ำมันบนผิวหน้าของคุณ ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ไม่แห้งตึงอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

    2. ผิวฉ่ำเป็นธรรมชาติ แบบไม่ต้องพึ่งเมคอัพเลย เวลาแต่งหน้าแล้วทิ้งไว้สักพักให้ความมันออกมาสักหน่อย ผิวหน้าจะดูฉ่ำแบบมีสุขภาพดีมาก ๆ เลยล่ะค่ะ แต่หากความมันออกมามากไป ก็ต้องซับออกบ้างนะคะ

    3. ไม่ต้องลงครีมบำรุงหลายอย่าง ถึงจะมีผิวมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่จำเป็นต้องทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะถึงอย่างไรคุณก็ควรทำความสะอาดผิวให้สะอาด และลงมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อล็อกความชุ่มชื้นไว้ในผิวอยู่ดี เพียงแต่ว่ายังไม่ต้องบำรุงมากมายเท่าสาวผิวแห้ง ประหยัดเวลาขึ้นเยอะเลยนะคะ

    4. ผลิตภัณฑ์มีให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคลีนซิ่ง, โทนเนอร์, มอยส์เจอไรเซอร์ รวมถึงพวกเมคอัพที่ช่วยควบคุมความมันต่าง ๆ ก็มีให้เลือกมากมายเต็มไปหมด ก็เปรียบได้ว่าสาวผิวมันนี่เป็นกลุ่มตลาดของเหล่าบรรดาบริษัทเพื่อความงามกันเลยทีเดียว

    5. ผิวนุ่มและแข็งแรง โดยปกติแล้วสาวผิวมันจะมีน้ำมันตามธรรมชาติเคลือบบนผิวตลอดเวลา ซึ่งเหตุนี้เองที่เป็นข้อดีที่ทำให้ผิวของคุณจะนุ่มเนียนน่าสัมผัส และยังทำให้ผิวหน้าดูไม่เหี่ยวอีกด้วย นอกจากนี้สาวผิวมันยังมีชั้นผิวที่แข็งแรงและหนากว่าสาวผิวแห้ง ทำให้ไม่ว่าสภาวะอากาศแบบใด สาวผิวมันก็ไม่มีปัญหาผิวต่าง ๆ
    จะเห็นได้ว่าสาวผิวมันอย่างเรา ๆ นั้น ก็มีข้อดีอยู่หลากหลายไม่ใช่น้อย  ปัญหาที่ต้องประสบจากผิวหน้ามันก็อาจมีบ้าง แต่เมื่อเทียบกับสาวผิวแห้งแล้ว  ก็ดูว่าปัญหาของเราจะเล็กลงไปเลย  จริงไหมคะ

อาหารลดน้ําหนัก ครีมแก้ขาลาย ลดพุง

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

วัยใสแต่งหน้าอย่างไรดี


    มีบทความในเรื่องการแต่งหน้ามาก็หลากหลายบทความ  ซึ่งเนื้อหาก็จะแตกต่างกันออกไป  มาคราวนี้ก็จะมาเจาะลึกวัยใสกันบ้างนะคะ  เพราะวัยรุ่นเดี๋ยวนี้โตไว ทั้งรูปร่างและความคิด  มีความอยากรู้อยากเห็นอยากลอง และเริ่มมีความรักสวยรักงามมาก ๆ เลยทีเดียว แล้วหากวัยรุ่นอยากจะแต่งหน้าขึ้นมาบ้างควรมีวิธีการอย่างไร

    1. ไม่จำเป็นต้องแต่งมากมาย โดยธรรมชาติน้อง ๆ วัยรุ่นทั้งหลายได้เปรียบในเรื่องความใส ความละเอียดของผิวหน้ามากกว่าผู้ใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้ง      เทรนด์การแต่งหน้าก็เน้นโชว์ผิวใส สุขภาพดี มากกว่าจะแต่งเข้มเพื่อปกปิด ดังนั้นแล้วแต่งหน้าใส ๆ บาง ๆ ให้เหมาะกับวัยได้อย่างไม่ต้องไปเปลี่ยนตัวเอง จากเดิมไปเป็นอีกคนเลยค่ะ

    2. เน้นตาไม่ต้องเน้นปาก ถ้าเน้นปากไม่ต้องเน้นตา ถือว่าเป็นกฎการแต่งสำหรับทุกเพศทุกวัยได้เลยนะคะ เพราะถ้าคุณแต่งหน้าโดยหนักไปเสียทุกอย่าง มันก็จะแย่งซีนกันเด่นเองค่ะ ในวัยใสก็แต่งเพียงอ่อน ๆ โดยการปัดมาสคาร่าเบา ๆ และเน้นที่ทาลิปสติกสีเข้ม ๆ เช่นชมพู หรือเน้นดวงตากลมโตด้วยอายไลเนอร์ ก็ทาลิปกลอสหรือลิปบาล์มใส ๆ ก็เพียงพอค่ะ

    3. กันคิ้วให้ได้รูปเสมอ คิ้วถือว่าเป็นองค์ประกอบบนใบหน้าที่ทำให้หน้าตาของสาว ๆ ดูดีขึ้นมาได้ทันทีโดยไม่ต้องแต่งเติมอะไรมากมาย โดยเพียงแค่กันคิ้วให้เข้ารูปเท่านั้นเอง ส่วนสาวคิ้วบางอาจใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มเขียนคิ้วให้ชัดขึ้นสักหน่อยก็ได้ โดยเมื่อใช้สีนี้จะทำให้ดูคิ้วเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าใครคิ้วเยอะอยู่แล้ว แค่ใช้เจลปัดขนคิ้วใส ๆ ปัดคิ้วให้เรียงเส้นเป็นระเบียบสวยก็พอแล้วค่ะ

    4. ใช้มาสคาร่าสีน้ำตาล หากต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติ สำหรับวัยใสก็ใช้สีน้ำตาลเข้มค่ะ เพราะหากใช้สีดำ จะทำดวงตาดูดุและเป็นผู้ใหญ่ค่ะ และด้วยบ้านเราร้อนเหลือเกิน ดังนั้นควรเลือกมาสคาร่าแบบกันน้ำก็จะดีมากค่ะ

    5. ใช้ดินสอเขียนขอบตาสีน้ำตาล เพื่อเพิ่มความกลมโตให้ดวงตาของคุณ การกรีดตาด้วยอายไลน์เนอร์แบบน้ำหรือแบบเจล จะทำให้ตาดูคม เฉี่ยว แต่ในที่นี้เราต้องการลุคน่ารักเป็นธรรมชาติ และเขียนเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ ก็พอนะคะ

    6. ใช้อายแชโดว์สีอ่อน หากแต่งหน้าด้วยลุควัยใส ควรเลือกโทนสีอ่อน ๆ เช่นสีชมพู สีเนื้อ จะทำให้สดใสสมวัยค่ะ

    กล่าวโดยรวมอีกครั้งคือพวกเขียนขอบตา, คิ้ว และมาสคาร่า เน้นสีน้ำตาลเข้มเพื่อความเป็นธรรมชาติ  และสีอายแชโดว์, บลัชออนและลิปสติก เน้นโทนสีอ่อน ๆ เช่นชมพูค่ะ  และแต่งเพียงบาง ๆ ก็เหมาะสมกับวัยแล้วค่ะ

อาหารลดน้ําหนัก ครีมแก้ขาลาย ลดพุง


วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

การเลือกสร้อยคอให้เหมาะกับรูปหน้า




          การแต่งหน้าและแต่งกายถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง  เพราะช่วยทำให้บุคลิกของคุณดูดีขึ้น ตลอดจนปกปิด, แก้ไขในสิ่งที่เป็นจุดบกพร่องของตัวคุณได้เป็นอย่างดี  ซึ่งหากพิจารณาในจุดที่ผู้คนทั่วไปมักมองเป็นอันดับแรกก็คือใบหน้านั้น  การแต่งหน้า ทำผม การใส่เครื่องประดับต่าง ๆ ก็ล้วนมีส่วนช่วยส่งเสริมบุคลิกของคุณให้เป็นที่น่าสนใจ อีกทั้งแก้ไขข้อบกพร่องที่คุณกังวลได้อีกด้วย  

          เครื่องประดับที่มีอยู่มากมายหลายแบบนั้น  เมื่อสวมใส่ย่อมทำให้เกิดความสะดุดตาทั้งนั้น ดังนั้นเวลาเลือกใส่ก็ต้องดูกันดีดีด้วยนะคะ  อาทิเช่นสาวหน้าอกหน้าใจไซส์พิเศษ  ก็ไม่ควรใช้เครื่องประดับที่ไปเน้นช่วงอกมาก  แต่อาจย้ายจุดสนใจไปส่วนอื่น ๆ แทน เช่น ต่างหูที่เป็นประกายแวววาวก็จะช่วยให้ใบหน้าของคุณดูเปล่งประกายและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

          ในเรื่องของขนาดก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรเลือกเครื่องประดับให้มีขนาดที่เหมาะกับรูปร่างของคุณ อาทิเช่น สาว ๆ ที่มีรูปร่างใหญ่ ไม่ควรใส่เครื่องประดับที่มีขนาดเล็กเกินไป เพราะเครื่องประดับชิ้นนั้นอาจไม่มีใครมองเห็นความสวยของมันค่ะ หรือเครื่องประดับชิ้นที่ใหญ่เทอะทะ ก็ไม่เหมาะกับสาวร่างเล็กและตัวลีบผอมนะคะ


          ในเรื่องการเครื่องประดับมาแก้ไขจุดบกพร่องที่สาว ๆ กังวลใจนั้น  มีให้เลือกมากมายไม่ว่าจะเป็น ตุ้มหูหรือต่างหู  หมวก  หรือแม้แต่สร้อยคอ  ซึ่งล้วนแต่เป็นเครื่องประดับเก๋ ๆ ให้คุณดูมีบุคลิกที่โดดเด่นขึ้นได้ทั้งนั้น การเลือกใช้สร้อยคอมาสวมใส่นั้น  หากเราจะเลือกให้เหมาะกับรูปหน้าของเราควรเลือกแบบไหนอย่างไร  วันนี้มีคำแนะนำมาบอกกันค่ะ

          1. สาวที่มีรูปหน้ากลม คอสั้น และหน้าอกเต็ม แนะนำให้ใส่สร้อยที่ยาวลงมาถึงกิ่งกลางหน้าอกเป็นรูปตัววี เพื่ออำพรางให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นค่ะ
          2. สาวที่มีรูปหน้าหัวใจและรูปหน้าหน้าเหลี่ยมเหมาะกับสร้อยทรงกลม เพื่อให้รูปหน้าดูมนขึ้นค่ะ
          3. สาวคอสั้น หรือสาวที่มีไหล่กว้าง เหมาะกับสร้อยแบบยาว เพราะใส่แล้วจะทำให้ดูเพรียวและสูงขึ้น
          4. สาวที่มีหน้าอกใหญ่หรือเป็นคนมีพุง ไม่ควรสวมสร้อยคอยาว เพราะจะยิ่งเน้นให้ช่วงที่ต้องการปกปิดดูเด่นมากกว่าเดิม แนะนำให้ใส่สร้อยที่ยาวประมาณช่วงหน้าอกมาใส่จะเหมาะสมกว่าค่ะ
          5. สาวตัวเตี้ย เหมาะกับสร้อยคอที่ยาวประมาณช่วงหน้าอกกับช่วงเอว เพราะจะช่วยพรางให้ดูสูงขึ้น แต่ทั้งนี้คุณต้องไม่อ้วนจนเกินไปด้วย
          6. สาวคอยาว เหมาะกับสร้อยชนิดสวมติดคอ จะดูดีมากค่ะ และสาว ๆ ที่ไม่เหมาะกับสร้อยประเภทนี้คือสาวเอวสั้น หน้าอกใหญ่ สาวรูปหน้าหน้ากลมและสาวรูปหน้าหน้าเหลี่ยม ถือว่าเป็นสร้อยต้องห้ามทีเดียวค่ะ

          คงพอจะได้ไอเดียในการเลือกใช้เครื่องประดับให้เหมาะกับตัวเองกันแล้วนะคะ ที่สำคัญไม่ว่าคุณจะเลือกใส่หมวก ต่างหู หรือสร้อย  ควรประดับอย่างพอดี  ไม่มากเกินไป และสิ่งสำคัญที่เป็นเครื่องประดับที่ดีที่สุดนั่นก็คือ รอยยิ้ม ค่ะ  พกไว้เยอะ ๆ นะคะ
 อาหารลดน้ําหนัก ครีมแก้ขาลาย ลดพุง

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559

หลุมสิว รักษาอย่างไรดี


    ในเรื่องความสวยงามแล้ว  สาว ๆ คงไม่มีใครที่อยากจะเป็นสิวแน่ ๆ แต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงได้ยาก  เพราะเกิดจากหลายปัจจัยมาก ๆ แถมเมื่อเป็นแล้ว บางครั้งอาจทิ้งหลุมสิวไว้ให้ดูต่างหน้าอีกด้วย  คราวนี้เราลองมาดูรายละเอียดกันนะคะว่า  จริง ๆ แล้วหลุมสิว คืออะไร  เกิดจากอะไร และจะรักษาได้อย่างไรบ้าง

    หลุมสิวคือ การเกิดการอักเสบอย่างรุนแรงใต้ผิวหนังที่ชั้นหนังแท้ ซึ่งปกติแล้วจะมีหนองเกิดขึ้นด้วย ทำให้คอลลาเจนบริเวณนั้นถูกทำลาย ซึ่งโดยปกติแล้วคอลลาเจนนั้นเป็นตัวที่ช่วยเสริมสร้างตลอดจนซ่อมแซมผิว เมื่อไม่มีคอลลาเจนนี้ที่จะช่วยรักษาผิวแล้ว ผิวที่เป็นแผลก็หายช้า เกิดเป็นแผลเป็น ใต้ผิวหนังที่เรียกว่า พังผืดดึงรั้งให้กลายเป็นหลุม

    คราวนี้เรามาดูสาเหตุที่แท้จริงในการเกิดหลุมสิวกันค่ะ  ซึ่งหลายๆคนมักเข้าใจว่าหลุมสิวเกิดจากการที่เป็นสิว แล้วไปแกะ บีบ หรือยุ่งกับมันมากเกินไปจนทำให้เกิดแผล แต่ในความเป็นจริงแล้วหลุมสิวที่เกิดจากสาเหตุดังกล่าวเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น โดยยังมีสาเหตุอื่นอีก  อาทิเช่นการที่เป็นสิวอักเสบแล้วละเลย ไม่สนใจ ปล่อยทิ้งไว้ไม่ยอมดูแลให้หายอีกด้วย เนื่องจากการอักเสบมันมีมากและไม่ได้รับการรักษา ทำให้ผิวหน้าในส่วนนั้นถูกทำลายซ่อมแซมตัวเองไม่ได้ จึงเกิดเป็นหลุมสิว นอกจากนี้หลุมสิวก็ยังเกิดจากกรรมพันธุ์ได้อีกด้วย

    หลุมสิวมีอยู่ 3 ประเภทตามลักษณะ ได้แก่

    1. Icepick Scars – ลักษณะหลุมสิวที่ปากหลุมจะกว้าง ส่วนก้นหลุมจะแคบ จึงเป็นรอยสังเกตเห็นได้ยากกว่าแบบอื่น

    2. Box Scars – ลักษณะหลุมสิวประเภทนี้ ปากหลุมจะกว้าง แต่ไม่ลึก สังเกตเห็นได้ง่ายเพราะมักจะเป็นรอยกว้าง

    3. Rolling Scars – ลักษณะจะเป็นรูเล็กๆ แต่ก้นหลุมลึก และหลุมสิวประเภทนี้รักษายากที่สุด

    วิธีการรักษาหลุมสิว  มีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี
 
    1. กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน อาทิ  การยิงเลเซอร์, การใช้คลื่น RF, ทาครีมลบรอยแผลเป็น, การฉายแสง LED เป็นต้น  วิธีนี้เหมาะกับหลุมสิว Rolling Scars

    2. ทำให้เซลล์ผิวด้านบนหลุดออก และร่างกายเกิดการซ่อมแซม ตลอดจนดันหลุมสิวให้ตื้นขึ้นเอง เช่น แต้มกรด TCA, ลอกผิวด้วยกรดผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด AHA, BHA, PHA เป็นต้น วิธีนี้เหมาะกับหลุมสิวแบบ Box Scars, Rolling Scars

    3. การทำให้ผิวหนังเกิดอักเสบ กระตุ้นให้ร่างกายซ่อมแซมตนเอง โดยสร้างเซลล์ใหม่ เช่น เลเซอร์ชนิดไม่มีแผล เป็นต้น วิธีนี้เหมาะกับหลุมสิวทั้ง 3 แบบ

    4. การเติมเต็มหลุมสิวด้วยสารเติมเต็ม เช่นการฉีดฟิลเลอร์ วิธีนี้เหมาะกับหลุมสิวแบบ Rolling Scars

    5. การตัดผังผืดใต้ผิวหนังบริเวณหลุมสิวออกไป โดยการใช้เข็มที่มีใบมีดอยู่ปลายเข็ม เจาะแล้วเอาใบมีดตัดผังผืดใต้ผิวหนังออก วิธีนี้เหมาะกับหลุมสิวทั้ง 3 ประเภท

    6. การศัลยกรรมผ่าตัดหลุมสิว เช่นกรีดผิวหนังเป็นวงรี แล้วเย็บปิด เหมาะกับหลุมสิวแบบ Icepick Scars และ Box Scars

    หลุมสิวเมื่อเป็นแล้ว ต้องใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน  ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีเลยทีเดียว  เพราะฉะนั้นทุก ๆ ท่านควรระมัดระวังไม่ให้เกิดสิวจะดีที่สุดค่ะ

อาหารลดน้ําหนัก ครีมแก้ขาลาย ลดพุง